สุทธิชัย หยุ่น :
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
14 กรกฎาคม 2555

ออง ซาน ซูจี แกนนำฝ่ายค้านที่เพิ่งไปปรากฏตัวในรัฐสภาในฐานะ ส.ส. เป็นครั้งแรก หลังจากต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากว่า 24 ปี ถูกขอร้อง เรียกร้อง และกดดันจากฝ่ายรัฐบาลพม่าให้เรียกประเทศของเธอว่า Myanmar ไม่ใช่ Burma
แต่เธอประกาศอย่างชัดเจนว่า “ดิฉันจะเรียกประเทศของดิฉันว่า Burma ต่อไป รัฐบาลจะเรียก Myanmar ก็เรียกไป...”
ถือเป็นความขัดแย้งประเด็นหนึ่งที่ยังไม่อาจจะ “ปรองดอง” กันได้ ระหว่างฝ่ายมีอำนาจทางการเมืองกับฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย ที่บัดนี้ได้ก้าวเข้าไปสู่ฐานแห่งอำนาจทางการเมืองระดับชาติแล้ว
รัฐธรรมนูญพม่าที่ออกประกาศใช้เมื่อปี 2008 ระบุไว้เด็ดขาดว่า ประเทศนี้มีชื่อว่า “เมียนมาร์” มิใช่ “เบอร์ม่า”
ที่แล้วมาการต่อสู้กับเรื่องชื่อของประเทศเป็นสัญลักษณ์แห่งการเผชิญหน้า ระหว่างอำนาจเก่าของทหาร กับกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาตลอด
แต่เมื่อวันนี้เกิดความปรองดอง และทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะนั่งลงหาทางออกร่วมกัน สามารถแก้ไขข้อขัดแย้งเดิมไปหลายประเด็นแล้ว แต่เรื่องชื่อประเทศยังเป็นเรื่องที่มิอาจจะหาข้อยุติได้
ชื่อ Myanmar นั้น เป็นที่เรียกขานกันมาช้านาน แปลตรงจากสำเนียงของคนพม่าเองเรียกชื่อประเทศตัวเอง และย้อนไปยาวนานถึงเมื่อศตวรรษที่ 12 ด้วยซ้ำไป
แต่เมื่ออังกฤษมาปกครองพม่าช่วงปี 1885 ถึงปี 1948 ชื่อทางการก็เปลี่ยนไปเป็น Burma คำว่า Burma มาจากเสียงพม่าของคำว่า Bamar ซึ่งก็เป็นที่มาของคำว่า “พม่า” ในภาษาไทยเช่นกัน
สำหรับคนพม่าจำนวนไม่น้อย คำว่า Burma มีร่องรอยของอำนาจจักรวรรดินิยม นั่นคือ การที่อังกฤษมาปกครองยาวนานและบังคับให้ต้องเรียกประเทศของตนด้วยชื่อที่ ลิ้นฝรั่งเคยชิน มากกว่าที่จะเรียกขานด้วยชื่อที่คุ้นเคยสำหรับคนพม่าเอง
แต่ภาวะที่แปลกมาตลอดก็คือว่า แม้คนพม่าจำนวนมากจะเรียกประเทศตัวเองว่า “เมียนมาร์” แต่ชื่อทางการของประเทศในฐานะเป็นสมาชิกสหประชาชาติและในเวทีระหว่างประเทศ ก็ยังเป็นชื่อ Union of Burma และหลังปี 1974 ก็ปรับเปลี่ยนเป็น Socialist Republic of Burma เพราะเผด็จการทหารในยุคนั้นต้องการจะเรียกตัวเองว่าเป็นสาธารณรัฐที่ใช้ระบบ สังคมนิยม เพราะมีสหายเป็นจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ และ ค่ายคอมมิวนิสต์ อื่นๆ
ผู้นำทหารให้เปลี่ยนจาก Burma เป็น Myanmar อย่างเป็นทางการก็เมื่อปี 1989
ที่ทำให้ชื่อนี้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของคนที่ต่อต้านเผด็จการทหาร ก็เพราะว่าชื่อ Myanmar ถูกประกาศให้ใช้หนึ่งปีหลังการปราบปรามผู้ประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย อย่างโหดเหี้ยม คำว่า Myanmar ในขณะนั้นจึงถูกตราตรึงกับยี่ห้อของเผด็จการทหาร
และในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง ผู้นำทหารพม่าก็สั่งให้เปลี่ยนชื่อเมืองและสถานที่สำคัญให้อ่านออกเสียงแบบ พม่าทั้งหมด ทิ้งร่องรอยของชื่อเก่าที่อังกฤษมาตั้งเอาไว้ให้แต่ก่อนเก่า เพื่อที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นการประกาศอิสรภาพจากอิทธิพลที่หลงเหลือจาก ยุคประวัติศาสตร์
เช่น เมืองหลวง Rangoon ก็เปลี่ยนเป็น Yangon หรือ Moulmein ซึ่งเป็นเมืองชายทะเลหลักของพม่า ก็ให้เรียกใหม่เป็น Mawlamyine
แน่นอนว่า พม่าไม่ใช่ประเทศเดียวที่ปรับเปลี่ยนชื่อเมืองสำคัญๆ กลับไปเป็นชื่อเดิมเพื่อประกาศศักดาแห่งความเป็นตัวของตัวเอง ต่างประเทศก็มี เช่นเมือง Bombay ของอินเดีย ก็เรียกเสียใหม่ว่าเป็น Mumbai
ความจริงคำว่า Burma มีปัญหาอยู่ในตัวเองมาช้านาน เพราะสะท้อนว่าคนเผ่าหลักคือ Burmans เป็นเจ้าของประเทศทั้งหมด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วประเทศนี้มีชาติพันธุ์หลักอย่างน้อย 8 กลุ่ม และชนกลุ่มน้อยต่างๆ อีกเป็นร้อย
คนเผ่า Burman มีประมาณ 37 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 55 ล้าน และแม้ว่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของทั้งหมดแต่เพียงกลุ่มเดียว
ปัญหาพม่าถึงวันนี้ก็ยังคือการที่ชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่ยอมมาอยู่ใต้การปกครองของคนเผ่าเบอร์มันแต่เพียงกลุ่มเดียว
นักเขียนพม่าคนหนึ่งให้ความเห็นในบทความตีพิมพ์ในนิวยอร์กไทมส์ วันก่อนว่าเขาพยายามจะใช้ทั้งสองชื่อ แต่ถ้าเจอสถานการณ์กระอักกระอ่วนจริงๆ ก็จะใช้คำว่า “ประเทศของเรา” แทนในยามสนทนากับเพื่อนร่วมชาติ
เพราะไม่ต้องการจะต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนร่วมชาติในขณะที่ทุกคนต้องการความปรองดอง
ผมก็จึงเรียกประเทศนี้ว่า “พม่า” กับคนไทย เรียก “Burma” เพราะเคยชินกับคำเก่าและตั้งใจใช้ Myanmar เมื่อต้องสัมภาษณ์คนอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าจะปรองดองด้วยการผสมกลมกลืนเป็น “เมียนพม่า” ก็ยังฟังดูแปลกๆ ชอบกล ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น